top of page
js-bach-air-sheet.jpg

-Biography 

    

 โยฮัน เซบาสเตียน บาค เกิดเมื่อวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 1685 ที่เมือง Eisenachประเทศเยอรมนี บาคมีเชื้อสายนักดนตรีที่มีชื่อเสียง ผลงานการประพันธ์ที่ดีที่สุดบางส่วนของเขาคือ "Mass in B Minor" "Brandenburg Concertos" และ "The Well-Tempered Clavier" บาคเสียชีวิตในไลพ์ซิกประเทศเยอรมนีเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 1750 ปัจจุบันเขาได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักประพันธ์เพลงตะวันตกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล


 

-Childhood

Johann Sebastian Bach เกิดใน Eisenach, Thuringia, Germany เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 1685 มาจากตระกูลนักดนตรี พ่อของเขาทำงานเป็นนักดนตรีประจำเมืองใน Eisenach และเชื่อว่าเขาเป็นผู้สอนลูกของเขาให้เล่นไวโอลิน

 

ตอนอายุเจ็ดขวบบาคไปโรงเรียนซึ่งเขาได้รับคำสั่งสอนทางศาสนาและศึกษาภาษาละตินและวิชาอื่น ๆ ความศรัทธาในนิกายลูเธอรันของเขามีอิทธิพลต่อผลงานดนตรีของเขาในภายหลัง เมื่อถึงอายุ 10 ขวบบาคก็พบว่าตัวเองเป็นเด็กกำพร้าหลังจากพ่อแม่ของเขาเสียชีวิตทั้งคู่ ทำให้เขาต้องอยู่ในความอุปการะของพี่ชายคนโต โยฮัน คริสทอฟ บาค ผู้เป็นศิษย์ของโยฮัน พาเคลเบล และมีอาชีพเป็นนักเล่นออร์แกนในเมืองโอร์ดรุฟ ในขณะที่รับการศึกษาด้านดนตรีไปด้วยบาคได้แสดงให้เห็นความเป็นอัจฉริยะทางดนตรี รวมทั้งยังช่วยครอบครัวหาเงินโดยการเป็นนักร้องในวงขับร้องประสานเสียงของครอบครัว และยังชอบคัดลอกงานประพันธ์และศึกษาผลงานของนักประพันธ์อื่น ๆ ที่เขาสามารถพบหาได้อีกด้วยเช่นกันกับทุกคนที่ชื่นชอบนักดนตรีเอกของโลกอย่าง โยฮัน เซบัสทีอัน บาค 


 

      มีเรื่องเล่าว่าเด็กชายบาคเคยพยายามจะเล่นเปียโน แต่พี่ชายล็อคเปียโนไว้ไม่ให้เล่น ต่อมาเขาก็พยายามลอกโน้ตดนตรีจากสมุดของพี่ชาย แต่ก็ถูกห้าม พี่ชายอาจจะหวงความรู้หรือโน้ตดนตรีในยุคนั้นจะมีค่ามากมายหรือเห็นว่ายากเกินสติปัญญาของบาค ก็สุดจะเข้าใจ อย่างไรก็ตามสมัยนั้นไม่มีไฟฟ้า การลอกหรือการเขียนโน้ตดนตรีในยามค่ำคืนต้องพึ่งแต่แสงเทียน จึงใช้สายตาเพ่งมากอันมีผลต่อสายตาของบาคในวัยไม้ใกล้ฝั่ง

      เมื่ออายุได้ 14 ปี  บาค ก็ได้รับทุนไปเรียนดนตรี ที่โรงเรียนเซนต์ไมเคิล โรงเรียนชื่อดังที่เมืองลูนเบิร์ก ไปพร้อมๆ กับการทำงานเป็นเด็กร้องเพลงประสานเสียง เขากับเพื่อนคนหนึ่งซึ่งได้ทุนเหมือนกันต้องเดินทางไปเมืองลูนเบิร์กโดยเท้าเปล่ามากกว่านั่งรถม้า อาจเพราะฐานะไม่สู้ดี ในช่วงเวลาที่เรียนนี้ถือได้ว่าเป็นการเพาะบ่มความเป็นยอดคีตกวีของบาคก็ว่าได้เพราะนอกจากดนตรีแล้วยังรวมถึงการซึมซับเอาวัฒนธรรมต่าง ๆ ของยุโรป รวมไปถึงศาสตร์อื่น ๆ นอกจากดนตรี

   แต่แล้วเสียงของเขาแตกพร่าเกินกว่าจะเป็นนักร้อง โชคดีอาจารย์ใหญ่อนุญาตให้เขาอยู่ที่โรงเรียนต่อ มีเรื่องราวว่าตอนอายุ 16 ปี บาคเดินทางไปชมดนตรีของนักเล่นออร์แกนชื่อดังอีกคนหนึ่งชื่อไรเคนซึ่งเขาชื่นชอบมาก ตอนขากลับ พบว่าตัวเองหิวจัดและไม่มีสตางค์สักแดงเดียว แต่ก่อนจะอดตายปรากฏว่ามีคนโยนหัวปลาทิ้งไว้ ขณะที่บาคกินหัวปลาอยู่นั้นก็พบว่ามีเหรียญทองอยู่ข้างในนั้นด้วยเลยโชคดีไป ตรงนี้อาจจะเป็นตัวตอกย้ำความเชื่อในเรื่องของพระเจ้าของบาคซึ่งมีอิทธิพลต่อเพลงของตัวเองในเวลาต่อมาก็ได้

   บาคเรียนจบในปี 1703 แล้วก็ไปเป็นนักดนตรีประจำสำนัก ของดุ๊กโยฮันน์ เอินส์ท แห่งไวน์มาร์ ต่อมาในปี 1717 นึกอยากจะเปลี่ยนงานโดยย้ายไปอังกฤษ แต่ท่านดุ๊กปฏิเสธ เมื่อบาคโวยวายถึงความอยุติธรรมในสำนักก็ถูกท่านดุ๊กจับเข้าคุกเสียเลย อันนี้ท่านดุ๊กเองอาจจะมีเหตุผลเพราะบาคมีชื่อเสียงในเรื่องอารมณ์ร้าย หัวดื้อ จนบรรดานักดนตรีที่ร่วมงานด้วยต้องกลัวกันหัวหด                                          

                                                     

     ด้วยจิตวิญญาณแห่งศิลปิน ในช่วงที่ถูกคุมขังนั้น บาคก็แต่งเพลงไปด้วย หลังจากโดนปล่อยตัวออกมา เขาก็ไปทำงานให้กับเจ้าชายลีโอโพลด์แห่งอันฮัลท์ โคเธน และได้รับความโปรดปรานจากเจ้าชายนักดนตรีพระองค์นี้มาก แต่ต่อมาเมื่อเจ้าชายทรงอภิเษกสมรส และเจ้าหญิงกลับไม่สนพระทัยในดนตรี บาคก็ต้องกราบบังคมทูลลาไปเป็นอาจารย์และผู้ฝึกสอนที่โบสถ์เซนต์โทมัส ในเมืองใหญ่ดังเช่นไลป์ซิก เมืองที่เขาจะอยู่ต่อไปจนชั่วอายุขัย

       ในช่วงชีวิตของบาค เขาเปลี่ยนงานบ่อย มีชีวิตขึ้น ๆลงๆ ทั้งสำเร็จและล้มเหลว เช่น ครั้งหนึ่งเขาได้รับเชิญให้ไปแข่งขันดนตรีกับนักดนตรีชื่อดังต่อหน้าพระพักตร์ของกษัตริย์โปแลนด์ แต่คู่แข่งถอดใจไม่มา บาคก็เลยเล่นดนตรีให้คนในราชสำนักตกตะลึงไปตามกัน จนได้รางวัลเป็นเหรียญทองคำ 100 เหรียญที่ใส่มากับถ้วยทองคำ แต่ บาคก็เคยถูกไล่ออกจากที่ทำงานเพราะพยายามเล่นดนตรีแบบใหม่เกินไปจนคนรับไม่ได้ และยังถูกกรรมการของโบสถ์ปฏิเสธเพลงคันทาทา (เสียงร้องที่มีเพลงประกอบ) ด้วยเหตุผลว่าเป็นการดูหมิ่นพระเจ้า ทั้งที่บาคเปี่ยมด้วยความศรัทธาต่อพระองค์อย่างแรงกล้า

    เดือนตุลาคม ปี 1707 บาคแต่งงานกับมาเรีย บาบารา ซึ่งก็เป็นหลานสาวของคริสตอฟ  (ซึ่งก็ไม่น่าประหลาดใจเพราะญาติผู้พี่ท่านนี้อายุมากกว่าบาคถึง 42 ปี) เธอมีลูกให้เขาถึง 7 คน ซึ่ง 2 ในนั้นคือ วิลเฮล์ม ฟริดเดอมันน์ บาค และคาร์ล ฟิลิปป์ เอมมานูเอล บาค  ซึ่งเป็นคีตกวีคนสำคัญแม้จะไม่เท่าบิดาแต่ก็โด่งดังมากในยุคนั้นเหมือนกัน เรื่องแสนเศร้าก็เกิดขึ้นกับบาคอีกแล้วเมื่อ บาบาราได้เสียชีวิตลง แต่อีก 1 ปีต่อมา เขาก็ไปแต่งงานใหม่กับหญิงสาวนามว่าแอนนา แมคดาเลนา วิลเก ลูกสาวของนักเล่นทรัมเป็ต และมีลูกอีก 13 คน ! ซึ่งหนึ่งในนั้นนามว่าโยฮันน์ คริสเตียน บาค ผู้จะมีมาอิทธิพลต่อดนตรีของอัจฉริยะกุมาร (child prodigy) อย่างโมซาร์ท ในภายหลัง

ปี 1740 นัยน์ตาของบาคเริ่มพร่ามัว การผ่าตัดตาถึงสองครั้งกลับทำให้เขาตาบอด และส่งผลร้ายต่อสุขภาพของเขาอย่างมาก บาคถึงแก่กรรมในวันที่ 28 กรกฎาคม ปี 1750 ด้วยโรคหัวใจวาย ศพของเขาถูกฝังไว้ในสุสานเซนต์จอห์น เมืองไลป์ซิก สิริรวมอายุได้ 65 ปี ฝรั่งถือกันว่าการตายของเขาเป็นการสิ้นสุดของดนตรียุคบาร็อค ส่วนดนตรีของเขาถูกลืมอย่างรวดเร็ว แต่แล้วในปี 1829 คีตกวีเชื้อสายยิวนามว่าเฟลิกซ์ บาร์โธดี เมนเดลโซห์น ก็ได้ปัดฝุ่นงานของเขาเช่นโอราโตริโอ ชื่อ St. Matthew Passion บาคจึงกลับมาดังอีกครั้งหนึ่งจนถึงปัจจุบัน

bottom of page